พีทีทีจีอี ยันคดีปาล์มอินโดฯยึดหลักธรรมาภิบาล

- Advertisment-

ผู้บริหารพีทีทีจีอี ยืนยันคดีปาล์มอินโดฯ ยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส  โดยการสอบสวนพยานของป.ป.ช.เป็นการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน ไม่มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ตามที่มีการกล่าวหาโดยหากมีการ กล่าวอ้างข้อมูลในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ทางพีทีทีจีอี และ ปตท. จะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

นายสุพจน์ เหล่าสุอาภา ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (พีทีทีจีอี) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 มีคำสั่งรับฟ้องคดีที่นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางรสยา เธียรวรรณ ผู้บริหารพีทีทีจีอี เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกอีก 4 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอเรียนชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเป็นเพียงการรับเอกสารคำฟ้องไว้ทางธุรการเท่านั้น ซึ่งศาลยังไม่ได้ประทับรับฟ้องแต่อย่างใด

นอกจากนี้ในข่าวยังระบุว่านางรสยา เธียรวรรณ นำเงินหรือทรัพย์สินไปติดสินบนกับพยานรายหนึ่งที่ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อให้ถ้อยคำบิดเบือนข้อเท็จจริงในคดีทุจริตปาล์มน้ำมันอินโดฯ อันเป็นการสร้างพยานหลักฐานเท็จนั้น ขอยืนยันว่าที่ผ่านมา นางรสยา เธียรวรรณ ให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. ทั้งด้านการสอบสวนและสนับสนุนข้อมูลอย่างถูกต้องทุกขั้นตอนตามกฎหมายและเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย อันเป็นการยึดมั่นปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance: CG) ของบริษัทฯ อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด และจากการชี้แจงของ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2562 จะเห็นว่าการสอบสวนพยานเป็นการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่านางรสยา เธียรวรรณ จะกระทำการติดสินบนพยานตามที่ปรากฏเป็นข่าว

- Advertisment -

ทั้งนี้ สำหรับกรณีคดีทุจริตโครงการลงทุนธุรกิจปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซียของพีทีทีจีอี มีที่มาจากการที่ ปตท. ได้ตรวจพบหลักฐานความผิดปกติในการลงทุนโครงการดังกล่าว จึงได้มีการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. และดำเนินการลงโทษทางวินัยซึ่งเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ของกลุ่ม ปตท. พร้อมกับที่คณะกรรมการ ปตท. พิจารณายกเลิกการลงทุนและให้ดำเนินการขายทรัพย์สิน เพื่อรักษาประโยชน์ขององค์กร

  โดย พีทีทีจีอี และ ปตท. ได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 1. คดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท อันเป็นมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของพีทีทีจีอี ซึ่งส่งฟ้องศาลแพ่งไปตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2558 2. คดีอาญาที่คณะกรรมการ ปตท. มีมติให้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อพิจารณาเมื่อเดือนมกราคม 2556 โดยปัจจุบันเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล และ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพีทีทีจีอี อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล โดยเฉพาะศาลแพ่งได้มีคำสั่งมิให้มีการเผยแพร่ข้อมูล พีทีทีจีอี และ ปตท. จึงต้องเคารพคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัด
ดังนั้น หากบุคคลใดล่วงละเมิด มีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือ กล่าวอ้างข้อมูลในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล พีทีทีจีอี และ ปตท. จะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อให้หยุดการกระทำอันสร้างความเสียหายให้แก่ ปตท. พนักงาน ผู้บริหาร อดีตผู้บริหารของพีทีทีจีอี และ ปตท. ต่อไป

Advertisment

- Advertisment -.